พัฒนาการมนุษย์สู่การสร้างอารยธรรม
พัฒนาการมนุษย์สู่การสร้างอารยธรรม
(https://www.periodistadigital.com/ciencia/ser-humano/20110823/primer
-cocinero-mundo-homo-erectus-harto-comer-noticia-689400273703/)
จุดกำเนิดเนิดของโลกสามารถย้อนกลับไปกว่า 4.5 พันล้านปีที่ผ่านมา โดยวิวัฒนาการของมนุษย์เป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ในประวัติศาสตร์เท่านั้น เดิมทีมนุษย์ดึกดำบรรพ์สืบเชื้อสายจากบรรพบุรุษเดียวกันกับลิงชิมแปนซี แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปมนุษย์มีการพัฒนาทางด้านร่างกายและสมอง ทำให้เมื่อมนุษย์เริ่มเรียนรู้การใช้ชีวิตเพื่อเอาตัวรอดบนโลกและดำรงเผ่าพันธุ์สืบไป มนุษย์เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากธรรมชาติวิถีและพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่การประดิษฐ์เครื่องมือสำหรับล่าสัตว์ไปจนถึงความก้าวหน้าในการผลิตอาหารและการเกษตรไปจนถึงศิลปะและวัฒนธรรม มนุษย์มีวิวัฒนาการในการใช้ดำรงชีวิตตั้งแต่พึ่งพาธรรมชาติตลอดจนพัฒนาเป็นอารยธรรมสามารถแบ่งออกเป็น 3 ช่วงคือ
ยุคหินเก่า (Plaeolithic Era, Old Stone Age) มนุษย์ในยุคนี้เป็นยุควิวัฒนาการช่วงแรก โดยยุคนี้มนุษย์ใช้ชีวิตเร่ร่อนล่าสัตว์หาของป่าดำรงชีพ มักอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ไม่มีการปักหลักถิ่นฐาน ย้ายถิ่นฐานไปเรื่อย ๆ หากไม่มีอาหารเพียงพอ เริ่มรู้จักการสลักเครื่องมือหินมาใช้อย่างง่าย ๆ รู้จักการใช้ไฟผ่านการสังเกตปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ไฟป่า ฟ้าผ่า เป็นต้น มนุษย์ยุคนี้ได้รังสรรค์ผลงานศิลปะผ่านภาพเขียนในถ้ำและรูปแกะสลักหิน มนุษย์เรียนรู้การทำพิธีกรรมและความเชื่อเกี่ยวกับความตาย เช่น วัฒนธรรมหินใหญ่ (Megaliths) ที่นิยมนำหินมาวางเป็นรูปร่างต่าง ๆ เพื่อสร้างหลุมศพหรือสุสาน ตัวอย่างที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกคือ สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) แห่งประเทศอังกฤษ
รูปที่1 รูปปั้นแกะสลักหินในยุคหินเก่า
(https://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-1212320/Ancient-figurines-toys-
mother-goddess-statues-say-experts-9-000-year-old-artefacts-discovered.html)
โดยจุดเปลี่ยนสำคัญที่เปลี่ยนผ่านจากยุคหินเก่าสู่ยุคหินใหม่คือการพัฒนาก้าวสำคัญของมนุษย์คือการพัฒนาด้านเกษตรกรรม หรือ การปฏิวัติยุคหินใหม่ (Neolithic Revolution) การเจริญเติบโตของเกษตรกรรมทำให้มีพืชและสัตว์กระจายออกไปตามภูมิภาคต่าง ๆ เกษตรกรรมเปลี่ยนวิถีชีวิตของยุคหินย่างสิ้นเชิงเนื่องจากมนุษย์มีอาหารมากขึ้น
ยุคหินใหม่ (Neolithic Era, New Stone Age) ในช่วงนี้เป็นช่วงที่สิ้นสุดยุคน้ำแข็ง (Ice Age) อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นเอื้อให้เกิดพืชพรรณใหม่ ๆ เกิดขึ้น พร้อมทั้งยังมีแหล่งอาหารใหม่ ในช่วงเวลาประมาณ 10,000 ปีก่อนคริสตศักราชมีการพัฒนาด้านการเกษตร(Development agriculture) โดยหลักฐานถือเป็นช่วงที่มนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงการดำรงชีพจากเร่ร่อนหาของป่าเป็นการทำไร่ทำนา เรียกว่า การปฏิวัติยุคหินใหม่ (Neolithic Revolution) หรือการปฏิวัติเกษตรกรรม การเจริญเติบโตของเกษตรกรรมทำให้มีพืชและสัตว์กระจายออกไปตามภูมิภาคต่าง ๆ เกษตรกรรมเปลี่ยนวิถีชีวิตของยุคหินย่างสิ้นเชิงเนื่องจากมนุษย์มีอาหารมากขึ้น มนุษย์มีกการเริ่มปักหลักถิ่นที่อยู่อาศัยถาวร ในช่วงแรก ๆ มนุษย์เรียนรู้ในการทำไร่ โดยเริ่มจากการศึกษาจากธรรมชาติแล้วนำมาปลูก ทำให้มีแหล่งอาหารที่ใหญ่ขึ้น การเลี้ยงสัตว์เกิดมาก่อนการเพาะเลี้ยงพันธุ์พืช โดยเลี้ยงสุนัขมาเพื่อช่วยล่าสัตว์ การเจริญเติบโตของเกษตรกรรมทำให้มีพืชและสัตว์กระจายออกไปตามภูมิภาคต่าง ๆ ทั้งเอเชีย – ข้าว, แอฟริกา – ปศุสัตว์, แม็กซิโก – ข้าวโพด, อเมริกาใต้ - มันฝรั่ง

แม้ว่าเกษตรกรรมเปลี่ยนวิถีชีวิตทำให้มนุษย์ในยุคนี้มีอาหารมากขึ้น แต่บางกลุ่มยังคงเป็นมนุษย์เลี้ยงสัตว์แบบเร่ร่อน หากอาหารหมดก็จะเปลี่ยนพื้นที่ไปเรื่อย ๆ แต่บางกลุ่มก็มีการปักหลังตั้งถิ่นฐานถาวร
ในช่วงแรก ๆ ยังคงเป็นการตั้งรกรากในกลุ่มเล็ก ๆ มีหมู่บ้าน เริ่มมีการค้า สังคมมีความซับซ้อนมากขึ้น มีการใช้สถานะทางสังคม เช่น ผู้นำหมู่บ้าน หมอผี มีความเชื่อเกี่ยวกับความตาย เมื่อมีการก่อร่างสร้างเมืองทำให้มีการทำสงครามเพื่อขยายดินแดนรองรับมนุษย์ที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่ มีการใช้สร้างเครื่องมือแบบใหม่ ๆ เพื่อใช้ประโยชน์ มีการใช้สัตว์ช่วยการทำเกษตร มนุษย์เริ่มนำทองแดงมาใช้ แต่ทองแดงมีการอ่อนตัวและเมื่อมีการเรียนรู้ทำให้ไปผสมกับดีบุกเกิดเป็นสัมฤทธิ์ มนุษย์เริ่มเรียนรู้ในการใช้เครื่องมือจากสัมฤทธิ์ ทำให้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่เปลี่ยนผ่านจากยุคหินเป็นยุคสัมฤทธิ์ที่มีการเริ่มตั้งแต่ 5,000 ปีในบางพื้นที่และพัฒนาไปใช้เหล็กเป็นเครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธ
การรวมกลุ่มกันของมนุษย์ที่มากขึ้นทำให้ต้องมีการจัดการที่เป็นระบบ โดยมีระบบการจัดการโครงสร้างทางสังคมและการเมือง ซึ่งผู้ชายและผู้หญิงเริ่มมีหน้าที่ที่แตกต่างกัน การพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญที่ก่อเกิดอารยธรรมเริ่มแรกของมนุษย์ขึ้น
อารยธรรมเริ่มแรก (The First Civilizations) เมื่อมนุษย์รวมกลุ่มกันเป็นสังคมที่ใหญ่ขึ้น เกิดเป็นเมือง โดยเมืองคือสถานที่ตั้งถิ่นฐานอันถาวรและหนาแน่นด้วยประชากรเป็นที่รวมของผู้คนที่มีความแตกต่างทางพื้นเพ ถือเป็นศูนย์กลางความเจริญ ประชากรมีความหลากหลายกว่าหมู่บ้าน เกษตรกรรม เนื่องจากหมู่บ้านเกษตรประกอบด้วยครอบครัวขยาย (Extended families) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นญาติพี่น้อง แต่เมืองในยุคแรก ๆ นั้นมีความหลากหลายเริ่มมีบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ญาติอยู่อาศัยร่วมกัน มีองค์กรที่เป็นทางการกว่าหมู่บ้านเกษตรกรรม เพื่อช่วยจัดระเบียบประชากรในสังคมเพื่อให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข มีการกำหนดขอบอาณาเขตเมืองออกจากหมู่บ้านข้างเคียง เป็นพื้นที่ศูนย์กลางทางการค้าสำหรับหมู่บ้านโดยรอบ มีกฎเกณฑ์ชัดเจนเพื่อบังคับใช้กับคนในสังคม มีโครงสร้างทางสังคมที่ซับซ้อนขึ้น โดยมนุษย์มีหน้าที่หลากหลายและการนำเข้าสิ่งใหม่ ๆ เข้าชุมชนผ่านการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้า วัฒนธรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทำให้เกิดอารยธรรม
รูปที่3 มนุษย์ตั้งถิ่นฐานริมฝั่งแม่น้ำ
(https://www.history.com/topics/pre-history/neolithic-revolution)
พัฒนาการของเมืองก่อให้เกิดอารยธรรมแรกเริ่ม โดยอารยธรรมมีความซับซ้อนและมีการจัดระเบียบทางสังคม เมื่อมีการเติบโตทางสังคมทำให้มีกลุ่มคนที่มีหน้าที่พิเศษเกิดขึ้นเพื่อปกครองและควบคุมกฎระเบียบทางสังคมและเริ่มแบ่งเป็นชนชั้นทางสังคมอย่างชัดเจนคือ กลุ่มผู้ปกครอง พ่อค้า ช่างฝีมือ เกษตรกร และทาส เริ่มมีการเริ่มจดบันทึกและการเขียนและการบังคับใช้กฎระเบียบทางสังคมเพื่อจัดระเบียบพร้อมทั้งลงโทษผู้ที่ไม่ทำตามกฎเกณฑ์ของสังคมความเชื่อของอารยธรรมแรกเริ่มจะเป็นความเชื่อพระเจ้าหลาย ๆ องค์ หรือ พหุเทวนิยม (Polytheism) เมื่อมนุษย์เริ่มตั้งถิ่นฐานและมีเวลาว่างมากขึ้นทำให้สามารถพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อทุ่นแรงมนุษย์เช่น ล้อ และพัฒนาการจัดการน้ำเพื่อการเกษตรอย่างการจัดการชลประธานทำให้สร้างทำการเกษตรได้ตลอดทั้งปี พร้อมทั้งยังมีอาหารส่วนเกินเพื่อเก็บไว้กินหรือเพื่อการค้าขาย
รูปที่4 ประชากรในสังคมในการสร้างอารยธรรมเริ่มแรก
(https://www.history.com/topics/ancient-middle-east/mesopotamia)
อารยธรรมแรกเริ่มเกิดขึ้นอย่างอิสระตามริมฝั่งแม่น้ำที่มีอาหารอาหารเพียงพอต่อความต้องการของประชากร โดยอารยธรรมสำคัญของโลกมีขึ้นหลายที่ยกตัวอย่างเช่น อารยธรรมเมโสโปเตเมีย (Mesopotemia) ซึ่งมีที่ตั้งอารยธรรมอยู่ระหว่างแม่น้ำไทกริส (Tigris)และแม่น้ำยูเฟรทีส(Euphrates) ปัจจุบันดินแดนอยู่ในประเทศอิรัก บางครั้งความเปลี่ยนแปลงอาจทำให้อารยธรรมอ่อนแอและล่มสลายไปได้ แต่การเปลี่ยนแปลงบางอย่างอาจทำให้อารยธรรมมีการขยายและเข้มแข็งขึ้น โดยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยคือ
อิทธิพลทางด้านสิ่งแวดล้อม หากอารยธรรมขึ้นตรงกับการเกษตรอย่างเดียวขาดแคลนวัตถุดิบอื่น ๆ เช่น แร่ ไม้ หิน หรือ ทรัพยากรทางธรรมชาติอื่น ๆ ทำให้อาจเกิดการทำสงครามเพื่อขยายอาณาจักออกไปและเพื่อครอบครองสิทธิ์การใช้ทรัพยากร
การแพร่เข้ามาของประชากรและวัฒนธรรม มีการเคลื่อนย้ายผู้คนเกิดการแลกเปลี่ยนภาษาและเครื่องแต่งกายใหม่ ๆ พร้อมทั้งยังมีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมจาการอารยธรรมหนึ่งไปสู่อีกอารยธรรมหนึ่ง
การขยายตัวและการทำสงคราม เมื่อมีประชากรเยอะขึ้นทำให้เกิดความขัดแย้งเพื่อแย่งชิงครอบครองทรัพยากรเพื่อรองรับการขยายตัวของผู้คนในสังคม บางอารยธรรมมีการพัฒนาไปสู่รัฐและอาณาจักรต่อไป
รูปที่5 การทำสงคราม
(https://www.ufodigest.com/article/sumerian-civilization-our-anunnaki-assets-liabilities-part-ii/)
มนุษย์มีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาตนเองเพื่อดำรงชีวิตให้อยู่รอด ตลอดจนถึงพัฒนาความคิดสร้างสรรค์สิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อให้คนในกลุ่มเดียวกันได้ใช้ประโยชน์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น