เกียรติมุข(หน้ากาล) อสูรผู้ "กลืนกิน"
เกียรติมุข(หน้ากาล) อสูรผู้ "กลืนกิน"
เกียรติมุข ความหมายตรง ๆ ก็คือหน้าที่อันยิ่งใหญ่ และ หน้า'กาล' ยังแปลว่า เวลา อีกด้วย โดยทั่วไปนั้นเราสามารถที่จะเห็น หน้ากาล ได้ตามซุ้มหน้าบันของโบราณสถานที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาฮินดู โดยทั่วไปจะทำสลักตัว หน้ากาลไว้คู่กับ ลายมังกร ที่จะออกมาทั้ง 2 ข้างของหน้ากาล ตัวหน้ากาลนั้นมีลักษณะคือ เป็นหน้ายักษ์ผสมกับหน้าสิงห์ หรือเป็นใบหน้าอสูรที่ดุร้าย คิ้วขมวด ตาถลน ปากอ้าออกกว้าง เห็นฟันและเขี้ยวมีเพียงปากครึ่งบนไม่มีปากครึ่งล่าง ไม่มีลำตัว และมีแขนแต่ออกมาจากข้างของศีรษะ คติความเชื่อเกี่ยวกับเกียรติมุขหรือหน้ากาลนี้ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในอินเดีย ซึ่งมีต้นกำเนิดจากศาสนาฮินดู ใช้เป็นสิ่งที่ประดับเทวลัย หรือ โบราณสถาน เพื่อแสดงถึงความเป็นเกียรติ เป็นมงคล และเป็นผู้พิทักษ์ขจัดสิ่งชั่วร้ายที่จะเข้ามาในเทวสถาน
kala
โดยตำนานตามความเชื่อฮินดูหน้ากาลได้มีต้นกำเนิดจาก 'ความโกรธ' กล่าวคือ พระศิวะ (เทพแห่งการทำลาย) นั้นมีเนตรที่ 3 ที่หน้าผาก มีอนุภาพรุนแรงมาก หากเปิดเนตรที่ 3 ขึ้นสามารถทำลายล้างโลกใบนี้ได้ แต่มีวันหนึ่ง อสูรจอมเจ้าชู้นามว่า 'ราหู' เข้าเฝ้าพระศิวะเพื่อทูลขอพระนางศรีอุมาเทวี พระชายาของพระศิวะเพื่อไปเป็นภรรยาของตน พระศิวะนั้นทรงกริ้วอสูรราหูเป็นอย่างมาก โดยอย่างที่ทราบกันคือ พระศิวะนั้นทรงมีความรัก ความห่วงใยในตัวพระนางอุมาเทวีเป็นอย่างยิ่ง ความโกรธกริ้วของพระศิวะในครั้งนี้ทำให้ท่านเผลอลืมเนตรที่ 3 ขึ้น
Kala
บังเกิดสิ่งมีชีวิตบางอย่างขึ้นเป็นสัตว์ประหลาดรูปร่างน่าเกลียด น่ากลัว และมีท่าทางหิวโซออกมา ตั้งท่าที่จะเข้าไปจัดการกับอสูรราหูท่าเดียว อสูรราหูเมื่อเห็นดั่งนั้นก็มีท่าทีที่ตกใจสุดขีด เข้าไปอ้อนวอนต่อพระศิวะให้ไว้ชีวิตตนเอง พระศิวะนั้นทรงห้ามยักษ์เพื่อไม่ให้ทำร้ายอสูรราหู ยักษ์ที่หิวโซกล่าวต่อพระศิวะว่า ขอกินสิ่งอื่นแทนอสูรราหู พระศิวะจึงตรัสให้ยักษ์นั้นกินแขนขาของตัวเอง แต่ด้วยความหิวโซของยักษ์นั้นกินแค่แขนขาตนเองยังไม่อิ่มก็กัดกินท้อง และอกของตนเองอีกจนเหลือเพียงส่วนหัว เห็นอย่างนั้นพระศิวะก็เกิดความสงสาร จึงตรัสสั่งให้ยักษ์หยุดกินตัวเอง และให้พรต่อยักษ์ให้อยู่ที่ประตูวิมานของพระองค์ตลอดไป หากผู้ใดไม่ให้ความเคารพจะไม่ได้รับพรจากพระศิวะเช่นกัน
Kala
ตามความเชื่อในสมัยโบราณถือว่าหน้ากาลเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญเป็นตัวแสดงถึง 'เวลา' รวมทั้งยังเป็น 'ปศุบดี' หรือผู้เป็นใหญ่ในฝูงสัตว์ ตัวหน้ากาลนั้นเปรียบเสมือนกับบุตรของพระศิวะทำหน้าที่คอยปกป้องเหล่าสัตว์ทั้งหลายอีกด้วย และหน้ากาลจะเห็นได้ทั่วไปตามเทวสถานต่าง ๆ ลวดลายนี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในอินโดนีเซีย และกัมพูชา
Kala in Indonesia
หน้ากาลนั้นจะกินตัวเองไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดพักทำให้หน้ากาลเองเป็นตัวบอกเวลาชั้นดี ที่แสดงให้เห็นถึงสัจธรรมของโลกที่ทำให้เห็นว่า 'เวลา' เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ ไม่สามารถย้อนกลับได้ ฉนั้นการที่จะทำอะไรสักอย่างนั้นต้องทำให้เต็มที่เพื่อที่จะไม่ได้เสียดายในภายหลังว่าไม่ได้ทำสิ่งนั้น
Wiang Choun. หน้ากาล ทวารบาลในสถาปัตยกรรมชวา. ออนไลน์. ค้นเมื่อ 21 กันยายน 2560, สืบค้นจาก : http://worldcivil14.blogspot.com/2017/06/blog-post_88.html.
ไอยลดา. หน้ากาฬ หรือ เกียรติมุข. ออนไลน์. ค้นเมื่อ 21 ตุลาคม 2560, สืบค้นจาก : http://www.dhamma5minutes.com/webboard.php?id=27&wpid=0037.
วิสุทธิ์ ภิญโญวาณิชกะ. (2555). เกียรติมุขหรือหน้ากาล ที่พิพิธภัณฑ์สถานพิมาย. ออนไลน์.
ค้นเมื่อ 21 ตุลาคม 2560, สืบค้นจาก : https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=surya21&month=10-2012&date=27&group=4&gblog=3.
Kala
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
D-Mathhistory. (2559). กาลหรือเกียรติมุข ยลปราสาทศิลปะอินเดีย. ออนไลน์. ค้นเมื่อ 21
ตุลาคม 2560, สืบค้นจาก : http://oknation.nationtv.tv/blog/MATHHISTORY/2016/04/11/entry-1.
Wiang Choun. หน้ากาล ทวารบาลในสถาปัตยกรรมชวา. ออนไลน์. ค้นเมื่อ 21 กันยายน 2560, สืบค้นจาก : http://worldcivil14.blogspot.com/2017/06/blog-post_88.html.
ไอยลดา. หน้ากาฬ หรือ เกียรติมุข. ออนไลน์. ค้นเมื่อ 21 ตุลาคม 2560, สืบค้นจาก : http://www.dhamma5minutes.com/webboard.php?id=27&wpid=0037.
วิสุทธิ์ ภิญโญวาณิชกะ. (2555). เกียรติมุขหรือหน้ากาล ที่พิพิธภัณฑ์สถานพิมาย. ออนไลน์.
ค้นเมื่อ 21 ตุลาคม 2560, สืบค้นจาก : https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=surya21&month=10-2012&date=27&group=4&gblog=3.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น